มารู้จัก "แม่ป่อง" สาวหนองคายตัวจริงทั้งในละครและชีวิตจริง จากละครผู้บ่าวอินดี้ยาหยีอินเตอร์ พร้อมชมความสวยของแม่ป่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ติดตาม IG: @muay_ansana
โพสท์โดยย้อนวันวานนึกถึง ซุป’ตาร์นางแบบ แถวหน้าของเมืองไทย คงขาดไม่ได้กับชื่อของ “หมวย-อัญษนา บุรานันท์” เด็กสาวจากจังหวัดหนองคาย ที่ก้าวเข้ามามีชื่อเสียงในวงการนางแบบ จากนั้นผันตัวสู่งานแสดง โลดแล่นด้วยดี ก่อนที่เธอจะเงียบหายไปกว่า 10 ปี!? และกลับมามีผลงานอีกครั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
“ตอนนี้กลับมารับงานละครเต็มตัวเลยค่ะสนุกที่ได้มากอง ได้เจอพี่ๆ น้องๆ ความรู้สึกเหมือนเราได้กลับเข้าโรงเรียน เพื่อนเยอะแยะ สำหรับวงการละครหมวยหายไปนานเลยค่ะ น่าจะสิบกว่าปี เรื่องท้ายๆ ที่เล่นตอนนั้นคือ “อย่าลืมฉัน” ที่เล่นเป็นเกนหลง เป็นแฟน “พี่พีท ทองเจือ” และก็เป็นนางเอกเรื่อง “เดชแม่ยาย” คู่กับ “อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร” ก่อนหยุดไปค่ะ”
ช่วงที่หายไปจากวงการ
หมวยไปมีครอบครัวค่ะ แต่ว่าไม่มีลูก เลยเหงาๆ เหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรมีผู้จัดฯ หลายที่โทร.มาชวนเหมือนกัน ว่ากลับมาเล่นละครไหม ซึ่งก็ต้องขอบคุณ “พี่ตุ๊กตา-จิตรลดา กัลย์จาฤก”ที่ชวนมาเล่น พี่เขาเคยบอกไว้ว่าถ้าจะกลับมาเล่นละคร เล่นกับพี่เขาก่อนนะ เราก็รอค่ะ จน 2 ปีผ่านไป พี่ตุ๊กตาไลน์มาบอกว่า…ตามสัญญา เราก็โอ้โห! กินใจเรามาก คือเขาไม่ลืมเรา พี่ตุ๊กตาน่ารักมาก ด้วยความที่ตัวละครเขาเยอะนะ ตัวเลือกก็เยอะมาก แต่ว่าพี่เขาก็ยังนึกถึงเราต้องขอบพระคุณพี่ตุ๊กตามากๆ ค่ะ เลยได้กลับมาเล่นเป็นคุณแม่ “น้องมิน-พีชญา” เรื่องล่ารักสุดขอบฟ้า ซึ่งฟีดแบ๊กดีมาก ทุกคนก็พูดถึง คือจะมีคอมเม้นท์ในพันทิปว่าพูดจาฉะฉานชัดเจน, ร เรือ ควบกล้ำชัด, กลับมาแล้วพี่เขาสวยนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ในไอจี @muay_ansana ก็มีเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ เมื่อก่อนจะปิดเป็นไพรเวท “พี่ต้น-จักรกฤษณ์” ก็บอกว่าเราเป็นคนสาธารณะจะมาปิดทำไม ก็เลยเปิดและจะลงรูปเวลาไปถ่ายละครซะส่วนใหญ่ เล่นล่ารักสุดขอบฟ้าตอนปี’57 หลังจากนั้นก็ยาวมาเลยค่ะ ออกอากาศไล่ๆ กันมาเลยคือ เรื่อง ทะเลไฟ, ทายาทอสูร, ชื่นชีวา (ได้รับบทแสนดีตลอด?)ด้วยหน้ามั้งคะ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ก็เล่นร้ายได้นะคะ แต่ต้องขอดูความยากง่ายของบทนั้นๆ ไม่ใช่แบบแว้ดๆจิกด่า ถ้าจะให้เราไปแว้ดๆ จิกด่าเราคงทำไม่ได้ เพราะเรารู้สึกว่าเรายังฝึกมาน้อยสำหรับคาแร็กเตอร์แบบนั้นจะให้ไปพูดด่าพูดจามึงมาพาโวย รู้สึกว่ามันไม่ใช่คงต้องเข้าคอร์สเรียนการแสดงเพิ่มค่ะ
ภาพจำที่คนทั่วไปมักคุ้น คือการเป็นนางแบบ
ใช่ค่ะ ตอนนั้นงานแฟชั่นโชว์เยอะมาก รวมทั้งถ่ายโฆษณา งานละครก็มีมา ช่วงนั้นเหมือนเป็นยุคทองของเรา (หัวเราะ) คือวันนึงเดินแบบประมาณ 3-4 งานและถ่ายหนังสือด้วย ถ้ารับงานละครมันก็จะกินเวลาพอสมควร บางทีทั้งวันเลยหลายเดือนกว่าจะจบจะหนักเกินไป ดังนั้นทำอะไรเราต้องทำให้ดีต้องแบ่งกันแต่เรารับงานเดินแบบและถ่ายโฆษณาพรีเซ็นเตอร์มากกว่า ไหนจะมิวสิกวีดีโออีก
สนุกสนานหลังแคตวอล์ก
สนุกมากค่ะ เพราะตอนนั้นนางแบบจะมีน้อยเราสนิทกันหมด เพื่อนร่วมรุ่นสมัยนั้นก็จะมี จอย-วราลักษณ์,คาร่า พลสิทธิ์, แมว-ชลิดา, อุ๋ม-อาภาศิริ, นาตาชา เปลี่ยนวิถี, เยลหลี เยอราดีน รุ่นนี้กันเลยค่ะ จะเดินวนกันอยู่ประมาณนี้ ตอนแรกเราก็ยังคิดมากอยู่นะ คือเขาติดต่อมาตอนสามสิบกว่าๆให้เล่นเป็นบทแม่ ก็เคยคิดในใจว่าถ้าเลขสี่ปุ๊บแล้วมีใครให้เล่นก็จะเล่น ความรู้สึกเราคือด้วยวัยมันรับได้แล้ว ถ้าเรามีลูกก็คงจะอายุประมาณยี่สิบกว่าแล้ว ก็เลยตัดสินใจมารับบทแม่
สิ่งที่รักในงานนางแบบ
ชอบเดินแบบเพราะคิดว่าชีวิตจริง เราคงไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเยอะขนาดนั้น และเราก็ได้พรีเซ็นต์ให้ดีไซเนอร์ สนุกได้เป็นหลากหลายคาแร็กเตอร์ คล้ายๆ กับละคร และการทำงานที่คล้ายกันก็คือต้องมีสมาธิกับการทำงาน แต่ว่าละครจะยากกว่าเยอะ เพราะว่ามีการพูดเข้ามา คำถามที่เจอบ่อยที่สุดก็คือ เป็นนางแบบทำไมไม่ยิ้ม (แล้วเหตุผลที่ไม่ยิ้ม?)คือเราต้องอินกับอารมณ์มากกว่า จริงๆ ก็ยิ้มนะคะสมมุติว่าเราเดินแบบเสื้อผ้าวัยรุ่นสนุกมันส์ๆเราก็จะยิ้มเฮฮาร่าเริง ส่วนชุดไหนที่เป็นดราม่าหน่อยมีเรื่องราว เราก็จะอินตามเรื่องตามราวที่เขามอบหมายให้ แต่แรกๆ ที่เข้ามาถ่ายแบบก็มีเคอะเขินบ้างเหมือนกัน เพราะว่าเราก็เป็นเด็กต่างจังหวัดสาวหนองคาย ตอนที่ถ่ายหนังสือครั้งแรกยังจำบรรยากาศได้อยู่ค่ะ คือเรายังเด็กมากรู้สึกว่าจะโพสต์ยังไงนะ แต่สไตลิสท์เขาจะเป็นคนบอกท่า ว่าเราต้องยืนยังไง ต้องบิดอย่างนี้นะเราก็ค่อยๆ เรียนรู้ดูหนังสือแมกกาซีน บางทีก็ดูพวกแฟชั่นในทีวี.ด้วย และรุ่นพี่เขาก็ช่วยสอน
หมวยในวัยเด็ก
เป็นเด็กขี้อายค่ะ ไปหน้าห้องเรียนแสดงกิจกรรมก็เขินเหมือนกัน แต่ว่าก็มักจะได้รับให้ทำเรื่อยๆ ไปเป็นดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์บ้าง ไปรำ ถือป้ายของโรงเรียนบ้าง เหมือนได้ทำกิจกรรมบ่อยๆ ได้รับการสนับสนุนจากคุณครูที่โรงเรียน ตั้งแต่เด็กๆ และการที่ได้เข้ามาในวงการแฟชั่นก็เหมือนโชคชะตานะคะ คือตอนนั้นที่โรงเรียนเขามีแสดงโชว์ผ้าไหมของจังหวัด ก็มีร้านชลธิชาที่เขานำผ้าไหมมาแสดง เราก็ไปเดินแบบให้เขา แรกๆ ก็เดินไม่เป็นต้องเอารองเท้าส้นสูงไปซ้อมเดินที่บ้าน เขาก็มีช่างแต่งหน้าทำผมมาจากกรุงเทพและนางแบบไปด้วย เราก็เลยได้เดินกับเขาช่างทำผม “อาจารย์ทัศนีย์” ที่อยู่เกศสยาม ก็มาทำให้และเห็นแววบอกว่าถ้าได้เข้าไปกรุงเทพฯให้โทร.หานะ อะไรแบบนี้ ก็เลยเหมือนฟ้าลิขิตค่ะ หลังจากนั้นเราก็มีงานมาเรื่อยๆ ท่านก็ฝากให้ถ่ายหนังสือ จนได้มาเจอกับ “พี่พจน์-อานนท์” คือมีคนส่งรูปเราเข้าไปที่อิมเมจก็เลยมาเจอ “พี่ใหญ่-อำมาตย์” ได้มาถ่ายอิมเมจเลย
ความเห็นจากครอบครัว
จริงๆ ที่บ้านไม่ค่อยชอบค่ะ เพราะว่าเป็นครอบครัวคนจีน เขาไม่ค่อยชอบเรื่องบันเทิงเต้นกินรำกินอะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือเราต้องรักษาภาพลักษณ์ตัวเองไม่ให้เสีย ต้องเลือกรับงาน โป๊ก็ไม่ถ่าย คือเราเป็นเด็กมาจากต่างจังหวัดแล้ว พอเวลาเรากลับบ้านก็ต้องไม่ให้ที่บ้านเสียชื่อเสียงชุดว่ายน้ำมีถ่ายค่ะ แต่คือหลังจากเข้าวงการมานานอายุมากขึ้นแล้วถึงจะถ่าย แต่ถ้าช่วงแรกๆ นี่จะไม่รับเลยมีติดต่อมาเยอะ หนังสือดิฉันจีบอยู่ตั้ง 3-4 ปี เราถึงยอมถ่ายแบบชุดว่ายน้ำ นางแบบกลายเป็นอาชีพหลักไปเลยค่ะ คือทำมาประมาณ 20 กว่าปี
กับฉายา “หมวย ชีวาส”
คือสมัยก่อนหมวยจะดังมาจากงานโฆษณาด้วย ชิ้นแรกก็คือชีวาส ของหมวยโปรโมทเป็นเรื่องที่ 2ทูเลิฟซัมบอดี้ เรื่องแรกเป็นไมเคิล หว่อง กับภรรยาของเขา เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องของเราซึ่งเป็นโฆษณาที่ฉายยาว 2-3 นาที ฟีดแบ๊กดีมาก เพราะว่าตัวนั้นจะเป็นเพลง จำได้ว่าเป็นโฆษณาตัวแรกในประเทศไทยที่ออนแอร์ทุกช่องในเวลาเดียวกัน และทุกคนก็คิดว่าเป็นสาวฮ่องกง (หัวเราะ) แต่จริงๆ คือเราเป็นสาวไทย เพราะว่าเขามีออนแอร์ในเอเชีย ก็มีฮ่องกง จีน เราถ่ายกับ คุณสตีฟ เป็นลูกครึ่งอเมริกันญี่ปุ่น ถือเป็นโฆษณาทีวี.ชิ้นแรกที่ทำให้เรามีชื่อเสียง และเริ่มมีหนังสือพิมพ์ติดต่อมาขอสัมภาษณ์ คนก็เลยเริ่มรู้จักว่าเราเป็นคนไทย เริ่มมีงานเข้ามา และมีอีกหลายชิ้น ทั้งแชมพู สบู่ ออนแอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ และโฆษณาที่ดังอีกตัวก็คือเนสกาแฟที่เล่นคู่กับ คุณโจเซฟ เฮนรี่ เป็นคนฟินแลนด์แล้วมาทำงานในเมืองไทย ก็ได้ทำงานร่วมกันหลายชิ้นเหมือนกันค่ะ
เข้าสู่วงการแสดง
เล่นละครเรื่องแรก “ฝากใจไว้ให้ใครสักคน” โดยมี “พี่ต้อ มารุต” กำกับการแสดง และเป็นละครเรื่องแรกทางช่อง 5 ที่ออนแอร์ก่อนข่าว จำได้ว่าไปถ่ายที่นิวซีแลนด์ ไปอยู่ที่นั่นเดือนนึง ทำงานกันทุกวันอย่างสนุกสนาน พอละครออนแอร์เราไปไหนมาไหนคนก็จะเรียกว่าเมย์ เพราะว่านางเอกชื่อเมย์ แต่หมวยจะรับละครน้อยมากค่ะอีกเรื่องที่เด่นๆ ก็คือ “อย่าลืมฉัน” ที่เล่นกับ “พี่แอน สิเรียม”, “พี่พีท ทองเจือ” และก็มีเล่นรับเชิญบ้าง ส่วนมากจะเป็นเล็กๆ ไม่ค่อยเล่นบทอะไรที่ใช้เวลาเยอะ เพราะว่าสมัยก่อนเราจะอินกับแฟชั่นโชว์กับถ่ายแมกกาซีนมากกว่าและเรื่องสุดท้ายที่เล่นคือ “เดชแม่ยาย” แล้วก็หยุดไปมีครอบครัว
งานเดินแบบวันวานกับวันนี้
ยังคิดถึงอยู่นะคะ แต่ว่าสมัยนี้จะไม่มีเข้ามาแล้ว เพราะว่าเด็กสมัยนี้ก็สูงๆ ทั้งนั้น และเขาจะฮิตกับการใช้นางแบบที่เป็นลูกครึ่งฝรั่ง รวมทั้งเดินกันหลายคน 1 งานจะมีนางแบบ 20-30 คน และใส่แค่ชุดเดียว แต่สมัยก่อนเราใส่เดินกันที 8 ชุด 12 ชุด ด้วยความรวดเร็วแป๊บๆ เปลี่ยนชุดแล้ว ก็เลยจะเป็นความแตกต่างของแฟชั่นโชว์ยุคนั้นกับยุคนี้ และกรุ๊ปเราจะมีกันอยู่แค่ที่เอ่ยมา 15 คนนี่ถือว่าใหญ่มากแล้วนะคะ แล้วเราก็จะวนๆ กันไป วงการนางแบบให้ประสบการณ์ที่ดีมากเลยนะคะ ทำให้เราได้เรียนรู้คนเยอะเลย วงการนี้ให้หลายสิ่งมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง การวางตัวในสังคม คือหมวยเป็นคนที่ออกจะหัวโบราณหน่อย เราคนไทยยังไงก็ต้องประเพณีไทย ไปลามาไหว้ ขอบคุณ เวลาที่ใครทำอะไรให้เราก็จะยกมือไหว้ตลอด แต่สมัยนี้อาจจะเปลี่ยนไป
ครอบครัวเล็กๆ แต่อบอุ่น
สามีเป็นคนนอกวงการค่ะ ยังไม่มีน้อง เมื่อก่อนเคยคิดจะมีแล้วมันไม่มี ก็ไปปรึกษาคุณหมอ แล้วพอนานไปก็ยังไม่มีอีก เราก็รู้สึกว่าพอไม่มีลูกมันก็สะดวกดีเหมือนกัน เวลาเพื่อนฝูงชวนไปไหนเราก็แพ็กเสื้อผ้าไปได้เลย ถ้ามีลูกชีวิตอาจจะเปลี่ยน คือทุกสิ่งทุกอย่างต้องทุ่มเทให้ลูกมากขึ้น ไปไหนก็ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี
สิ่งที่อยากจะทำในวงการบันเทิง
อยากลองทำงานพิธีกรค่ะ อาจจะเป็นพวกเกมโชว์หรือว่าวาไรตี้ อันนี้คือเป็นสิ่งที่ท้าทายที่ยังไม่เคยทำ แต่พิธีกรงานอีเวนท์อะไรแบบนี้สมัยก่อนเคยทำมาแล้ว รับหมดค่ะอะไรที่เป็นตังค์รับหมด (หัวเราะ) แต่ถ้าให้ไปผลิตรายการเองอาจจะไม่ไหว เพราะว่าเราก็อายุเยอะแล้ว อย่างละครเรารู้สึกแฮปปี้นะเพราะว่าได้กลับมาเล่นอะไรที่เรารัก คือสมัยก่อนนี้ชอบนะละคร ยังมีโอกาสไปเล่นละครเวทีเลย รู้สึกสนุกเพราะว่าได้แอ๊กติ้งเยอะๆ คนดูเยอะมันได้อารมณ์ความสดที่พอมีอะไรผิดพลาดเราก็ต้องรีบแก้ไขเป็นอารมณ์อีกอย่าง คือเราเป็นคนที่รักและชอบในการแสดง แต่ว่าด้วยหลายๆ อย่างเลยทำให้เราไม่สามารถรับได้มาก แต่พอกลับมาครั้งนี้ก็เลยสามารถรับได้เต็มที่ จัดเต็มเลยค่ะ แต่ก็ต้องทำการบ้านให้หนักกว่าคนอื่นเขา เพราะว่าเราก็หายไปนาน
เคล็ดลับการดูแลสุขภาพ
คือพอเราอายุมากขึ้น ถ้าทานอาหารแล้วไม่ออกกำลังกายมันจะสะสมทำให้อ้วน เราก็จะหลีกเลี่ยงโดยการไม่กินของมันๆ อย่างกะทิ ของทอด ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่กินค่ะ และก็ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเยอะๆ พยายามไม่เครียดมันก็ช่วยได้เยอะ ควบคุมน้ำหนัก แต่มีช่วงนึงแอบทานทุเรียน คือจริงๆ เป็นคนชอบทานทุเรียนมาก เราไม่ได้ทรมานตัวเองนะคะแต่รู้สึกว่าชอบ เราก็กิน แต่กินไม่เยอะเหมือนสมัยก่อนที่เราเด็กๆ จะกินนิดนึงพอให้หายอยาก ชอบโดนแซวจากพี่ๆ ช่างทำหน้าทำผมว่าดูเด็กจังเลย เราก็เขินนะ แต่มันก็เป็นกำลังใจให้เรายิ่งต้องดูแลสุขภาพมากขึ้น
แง่คิดดีๆ ในการดำเนินชีวิต
จริงๆ หมวยผ่านอะไรในวงการ มาเยอะ เพราะว่าเราก็อยู่มานาน มีกิเลสเยอะ กว่าจะผ่านมาถึงขนาดนี้ได้ โดยที่เราไม่ทำให้เสียชื่อเสียง ให้ภาพที่ออกมายังเป็นสิ่งดีๆ ทุกคนยังนึกถึง คือไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ดูแลตัวเองและเป็นตัวอย่างดีๆ เราจะเริ่มจากคนใกล้ๆก่อน ทำให้เขาเห็น แล้วคนอื่นก็จะค่อยๆ เห็นเอง ทำให้คนใกล้ตัวมีความสุข แล้วสิ่งที่ได้กลับมามันก็จะเป็นความสุขกับเรา คือพูดง่ายๆ เราคิดดีทำดีมีสติในการใช้ชีวิตเท่านั้นเอง แต่บางทีมันก็มีหลุดเหมือนกัน เพราะชีวิตคนเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกคนมีปัญหาหมดเพียงแต่ว่าเราจะคลองสติและทำให้มันออกมาดีแค่ไหนเท่านั้นเองค่ะ
สุดท้ายหมวยอยากจะขอบคุณผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านสำหรับโอกาสดีๆ ในวงการบันเทิงไทย และขอบคุณแฟนๆ ที่ต้อนรับหมวยเป็นอย่างดี ผู้จัดท่านใดสนใจก็ติดต่อมาได้นะคะ(ยิ้มหวาน) หมวยรู้สึกสนุกมาก เราได้เปิดประสบการณ์ใหม่อีกครั้ง เพราะว่ายังมีนักแสดงอีกเยอะเลยนะที่เรายังไม่เคยทำงานด้วย อย่างพี่หมู-ดิลก, พี่อุ้ย-เกรียงไกร, พี่เหมียว-ชไมพร, พี่ต้น-จักกฤษณ์, อาดวงดาว ซึ่งเราก็ปลื้มเขาอยู่แล้ว พอได้ร่วมงานด้วยก็รู้สึกตื่นเต้น ขนลุกมือไม้เย็นไปหมดเลยยิ่งต้องทำการบ้านหนัก กลัวว่าถ้าไปเข้าฉากกับเขาแล้วเกิดจำบทไม่ได้ จะทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาค่ะ
แม้จะผ่านประสบการณ์ทางการแสดงมาแล้วมากมาย แต่ “หมวย-อัญษนา บุรานันท์” ยังไม่หยุดที่จะเรียนรู้ โดยหยิบยกรุ่นพี่นักแสดงเป็นครู ผู้ชมคงได้ดูผลงานละครของเธออย่างต่อเนื่องแน่นอนค่ะ