🇹🇭 THAILAND | Syam kuk (Ancient costume of Thai history)
โพสท์โดย อ้ายเติ่ง"Syam Kuk - ស្យាំកុក៍ ” Siam in Angkorian Period, 12th Century!
การฟื้นคืนชีพของกองทัพไทยอันเกรียงไกร กองทัพสยำกุ๊ก หรือ "เสียมกุก" โดย อาจารย์พีระมนต์ ชมธวัช แห่ง อาภรณ์งามสตูดิโอ
🔸 Syam kuk costume by Thai artist "Peeramon Chomdhavat" Arporn Ngam studio, Thailand.
🔸 Photographer: Art Pawat Jundarak
🔸 Makeup artist: Peerasin Paddee
🔸 Graphic: Shadow
#เสียมกุก #Thailand #Thai #Syamkuk #PeeramonChomdhavat #ArpornNgamstudio
—————•♦•—————
"Syam Kuk” a well-known bass relief at Angkor Wat believed to depict the Siamese army marching in the Angkorian army either as its alliance or subjects?
One of the presumptions, the name Siam came from a Sanskrit word, Shyama means yellowish white. Aryan people (Indo Aryan) called us Shyama and became Shyam(Siam).
A detailed shot of one of the many scenes portrayed in Angkor Wat's Galleries of Bas-reliefs. The photo shows part of the South Gallery's West Wing - a procession of various leaders and their troops from provinces and countries of King Suryavarman II's empire.
Near the front of the procession at the easternmost end of this wing. A contingent of Syam Kuk soldiers - some smiling - marches in a relaxed way. "Syāṃ" may mean Siamese (present-day Thai) or other people from the north-western area of the Angkorian empire and "Kūta" may mean group, The script was recorded at the back of the army officer on the elephant's back (Has been destroyed).
“Siam Kuk” The Siamese people are great
“สยาม กุก” ชาวสยามผู้ยิ่งใหญ่
The bas-relief known as "Siam Kuk" (which means "Siamese Group") is a depiction of a group of Thai soldiers marching in the army of the Khmer Empire during the 12th century. It is a formation of the 21st army, the generals carry bows and arrows. Standing majestically in a seat bound on an elephant's back, hair braided in curls, wearing a hat adorned with flowers and feathers (the motif of "seat tied on an elephant's back" is different from that of the elephant's seat bound). all khmer by making a lotus-flower-shaped pedestal. The backrest of the seat on the openwork elephant's back is a curved pattern similar to a four-petal flower. It is similar to the flower decoration in the art of Dvaravati of the Chao Phraya River Basin. The bas-relief is located on the easternmost section of the outer wall of Angkor Wat, the largest religious monument in the world. The bas-relief shows a group of about 50 Thai soldiers, armed with spears, swords, and shields. They are marching in a relaxed manner, with some of them smiling and talking to each other. The soldiers are wearing traditional Thai clothing, which includes long skirts, loose-fitting shirts, and turbans.
The bas-relief of "Siam Kuk" explicitly show that the Siamese people are great. However, it show that they were a proud and confident people who were not afraid to fight for what they believed in. The soldiers in the bas-relief held a long spear with pointed roots, dressed in a floral pattern, decorated with very beautiful Uba bouquet. We are shown marching in a relaxed manner, with some of them smiling and talking to each other. This suggests that they were confident in their abilities and did not see themselves as inferior to the Khmer soldiers and shows that the Siamese people were skilled warriors. They are armed with spears, swords, and shields, and they are shown fighting bravely against their enemies. This suggests that they were a formidable force to be reckoned with.
Ultimately, the bas-relief of "Siam Kuk" is a reminder of the rich history and culture of the Siamese people. It is a testament to their strength, courage, and pride.
here are some narrations of foreign travelers about the image of the "Siam Kuk" bas-relief at Angkor Wat in the past:
* Henri Mouhot, a French explorer who visited Angkor Wat in 1860: "I was amazed to see the bas-relief of the Siamese Group. It was a powerful reminder of the long and shared history of the Thai and Khmer peoples. The soldiers were depicted with such skill and detail, and it was clear that they were proud and confident warriors. I felt a sense of kinship with them, as a fellow Southeast Asian."
* John Thomson, a Scottish photographer who visited Angkor Wat in 1866: "I was fascinated by the bas-relief of the Siamese Group. It was so different from anything I had ever seen before. The soldiers were dressed in such elaborate clothing, and their weapons were so unique. I could tell that they were an important part of the Khmer Empire, and I was honored to be able to see their image preserved for centuries."
* George Coedès, a French historian who visited Angkor Wat in the early 20th century: "The bas-relief of the Siamese Group is a valuable historical document that provides insights into the relationship between the Khmer Empire and the Thai kingdom during the 12th century. It is a reminder of the long and complex history of the two countries, which share a border and a rich cultural heritage."
* The Chinese traveler Zhou Daguan, who visited Angkor Wat in 1296: "The bas-relief of the Siamese Group is a remarkable depiction of the Thai people. The soldiers are shown with great detail and accuracy, and their clothing and weapons are clearly depicted. It is a valuable historical document that provides insights into the relationship between the Khmer Empire and the Thai kingdom during the 13th century."
* The Scottish photographer John Thomson, who visited Angkor Wat in 1866: "The bas-relief of the Siamese Group is a fascinating depiction of the Thai people. The soldiers are shown in their traditional clothing and armed with their traditional weapons. It is a valuable historical document that provides insights into the culture and society of the Thai kingdom during the 19th century."
These are just a few examples of the many narrations that foreign travelers have written about the image of the "Siam Kuk" bas-relief at Angkor Wat in the past. The bas-relief has long been a source of fascination and inspiration for travelers from all over the world. It is a reminder of the shared history and culture of the Thai and Khmer peoples, and it continues to be a powerful and moving sight for visitors to Angkor Wat.
ภาพนูนต่ำที่เรียกว่า "สยามกุก" (ซึ่งแปลว่า "กลุ่มสยาม") เป็นภาพของกลุ่มทหารไทยที่เดินทัพไปรวมในกองทัพของอาณาจักรเขมรในช่วงศตวรรษที่ 12 เป็นขบวนทัพที่ 21 แม่ทัพถือธนูและลูกศร ยืนสง่าอยู่บนสัปคับหลังช้าง ถักผมเป็นลอน สวมหมวกประดับดอกไม้และขนนก (ลวดลายของ “สัปคับ” มีความแตกต่างไปจากสัปคับของฝ่ายเขมรทั้งหมด โดยทำเป็นบัวคว่ำ บัวหงาย พนักของสัปคัยฉลุเป็นลวดลายโค้งคล้ายดอกไม้สี่กลีบ มีความคล้ายครึงกับลายดอกไม้ประดับในศิลปะแบบทวารวดีของลุ่มน้ำเจ้าพระยา
ภาพนูนต่ำนี้ตั้งอยู่บนส่วนตะวันออกสุดของกำแพงชั้นนอกของนครวัด ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภาพนูนต่ำเป็นรูปทหารไทยประมาณ 50 นายถือหอก ดาบ และโล่ พวกเขากำลังเดินไปมาอย่างผ่อนคลาย บางคนยิ้มและพูดคุยกัน ทหารสวมชุดไทยโบราณ ได้แก่ กระโปรงยาว เสื้อหลวมๆ และผ้าโพกหัว
ภาพนูนต่ำของ "สยามกุก" แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชาวสยามนั้นยิ่งใหญ่ มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนที่หยิ่งยโสและมีความมั่นใจที่ไม่กลัวที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อ เหล่าทหารในรูปนูนต่ำถือหอกยาวเป็นแง่งแหลม สวมชุดลายดอก ประดับด้วยอุบะสร้อยระย้างดงามมาก แสดงการเดินทัพด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย บางส่วนยิ้มแย้มและพูดคุยกัน แสดงว่ามั่นใจในความสามารถของตนและไม่ได้มองว่าตนด้อยกว่าทหารเขมร และยังแสดงให้เห็นว่าชาวสยามเป็นนักรบที่เก่งกาจ พวกเขาติดอาวุธด้วยหอก ดาบ และโล่ และพวกเขาแสดงการต่อสู้อย่างกล้าหาญกับศัตรูของพวกเขา สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าพวกเขาเป็นกองกำลังที่น่าเกรงขามที่ต้องคำนึงถึง
ท้ายที่สุด ภาพนูนต่ำของ "สยามกุก" เป็นเครื่องเตือนใจถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนานของชาวสยาม มันเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และความภาคภูมิใจของพวกเขา
นี่คือคำบอกเล่าของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเกี่ยวกับภาพนูนต่ำนูนต่ำ "สยามกุก" ที่นครวัดในอดีต:
***อองรี มูโฮต์ นักสำรวจชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนนครวัดในปี พ.ศ. 2403 กล่าวว่า "ฉันรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นรูปปั้นนูนต่ำของกลุ่มสยาม มันเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและร่วมกันของชนชาติไทยและเขมร ทหารได้รับการกล่าวถึง ด้วยทักษะและรายละเอียดดังกล่าวและเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นนักรบที่หยิ่งยโสและมีความมั่นใจ ฉันรู้สึกเป็นเครือญาติกับพวกเขาในฐานะเพื่อนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนหนึ่ง”
***จอห์น ทอมสัน ช่างภาพชาวสก๊อตผู้มาเยือนนครวัดในปี พ.ศ. 2409: "ฉันรู้สึกทึ่งกับภาพนูนต่ำของกลุ่มสยาม มันแตกต่างจากสิ่งที่ฉันเคยเห็นมาก่อนมาก ทหารสวมเสื้อผ้าที่วิจิตรบรรจง และพวกเขาใช้อาวุธที่มีเอกลักษณ์มาก ฉันบอกได้เลยว่าพวกเขาเป็นส่วนสำคัญของอาณาจักรเขมร และฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เห็นภาพลักษณ์ของพวกเขาถูกรักษาไว้เป็นเวลาหลายศตวรรษ"
***George Coedès นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนนครวัดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 กล่าวว่า "ภาพนูนต่ำของกลุ่มสยามเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์อันมีค่าที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเขมรและอาณาจักรไทยในช่วงศตวรรษที่ 12 มัน เป็นเครื่องเตือนใจถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อนของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีพรมแดนร่วมกัน
***โจว ต้ากวน นักเดินทางชาวจีนผู้มาเยือนนครวัดในปี ค.ศ. 1296: "ภาพนูนต่ำของกลุ่มสยามเป็นภาพที่น่าทึ่งของคนไทย ทหารแสดงได้ละเอียดและแม่นยำมาก เสื้อผ้าและอาวุธของพวกเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน นับเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเขมรกับอาณาจักรไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13"
***จอห์น ทอมสัน ช่างภาพชาวสก๊อตผู้มาเยือนนครวัดในปี พ.ศ. 2409: "ภาพนูนต่ำของกลุ่มสยามเป็นภาพที่น่าสนใจของคนไทย ทหารจะแสดงในชุดแบบดั้งเดิมและติดอาวุธด้วยอาวุธแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่มีค่า"
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของเรื่องเล่ามากมายที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเขียนเกี่ยวกับภาพนูนต่ำ "สยามกุก" ที่นครวัดในอดีต ภาพนูนต่ำเป็นที่มาของความหลงใหลและแรงบันดาลใจสำหรับนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกมาช้านาน เป็นเครื่องเตือนใจถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันของชาวไทยและชาวเขมร และยังคงเป็นภาพที่ทรงพลังและน่าประทับใจสำหรับผู้มาเยือนนครวัด
………………………………………………………………………
Rferences :
* **George Coedès, **Angkor: An Introduction, (Oxford University Press, 1963).
* **Michael Freeman and Claude Jacques, **Angkor: The Hidden History, (Thames & Hudson, 1999).
* **Michel Jacq-Hergoualch, **Angkor: Heart of an Empire, (Thames & Hudson, 2007).
* **Vittorio Roveda, **Angkor: The Complete Guide, (A&C Black, 2011).
* **Zhou Daguan, "A Record of Cambodia"** (1296): This is a travelogue written by the Chinese traveler Zhou Daguan, who visited Angkor Wat in 1296. In his book, Zhou Daguan describes the bas-relief of the Siamese Group in detail, and he provides insights into the relationship between the Khmer Empire and the Thai kingdom during the 13th century.
* **Henri Mouhot, "Travels in the Central Parts of Indo-China (Siam, Cambodia, Laos)"** (1868): This is a travelogue written by the French explorer Henri Mouhot, who visited Angkor Wat in 1860. In his book, Mouhot describes the bas-relief of the Siamese Group in detail, and he expresses his admiration for the skill and detail with which the soldiers are depicted.
* **John Thomson, "The Straits of Malacca, Indo-China and China"** (1875): This is a travelogue written by the Scottish photographer John Thomson, who visited Angkor Wat in 1866. In his book, Thomson provides a detailed description of the bas-relief of the Siamese Group, and he includes several photographs of the bas-relief.
* **George Coedès, "Angkor: An Introduction"** (1963): This is a book written by the French historian George Coedès, who was an expert on the history of Southeast Asia. In his book, Coedès discusses the bas-relief of the Siamese Group in detail, and he provides insights into the meaning and significance of the bas-relief.
—————•♦•—————
‘เสียมกุก’ ความเกรียงไกรของสยามบนกำแพงนครวัด ประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจปกปิดได้ของเขมร
บทความโดย จีรวุฒิ (อุไรรัตน์) บุญรัศมี
ไม่นานมานี้ได้เกิดดราม่าเรื่องที่ทางเขมรได้สกัดทำลายจารึกเกี่ยวกับ ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ที่ปรากฏ ณ มุมแห่งหนึ่งของกำแพงของ นครวัด-นครธม ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 โดย นครวัด-นครธม นี้ค้นพบครั้งแรกโดยชาวตะวันตกที่เข้ามาสำรวจประเทศกัมพูชาสมัยอาณานิคม
สำหรับคำว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ นี้ก็ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าคือ ‘สยาม’ หรือไทยในปัจจุบัน ว่ากันว่าจารึกที่เคยมีอยู่นี้ได้ถูก ‘ทำให้หายไป’ ตั้งแต่ช่วงที่เขมรแดง (คอมมิวนิสต์สายจีน) ได้เข้ายึดครองประเทศกัมพูชาในช่วง ค.ศ. 1980
อย่างไรก็ดี ในความโชคร้ายย่อมยังมีความโชคดีปรากฏอยู่ เพราะต่อให้มีการทำลายจารึกโดยการกะเทาะและโบกปูนทับเพื่อปกปิดประวัติศาสตร์ หากแต่ประวัติศาสตร์เขมรส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาและบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบตั้งแต่ช่วงที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสยึดครองเขมรแล้ว ดังนั้น ‘สยำ กุก / สยาม กก’ (Syam Kuk) จึงหาได้รอดพ้นจากสายตาของนักวิชาการฝรั่งเศสและไทยไปได้เลย ดังที่ได้มีตำราวิชาการและหนังสือหลายเล่มกล่าวถึง ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ไว้อย่างถึงพริกถึงขิงก่อนที่จารึกส่วนนี้จะถูกทำให้หายไปเสียอีก กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ต่อให้ทางเขมรจะมีเจตนาจะลบล้างความจริงหรือทำลายหลักฐาน ‘สยำ กุก / สยาม กก’ไป แต่น่าเสียใจที่จะบอกว่า ‘สายไปเสียแล้ว’ เพราะเรื่องดังกล่าวได้รับการบันทึกทั้งภาพและข้อความ รวมถึงได้รับการตีความเป็นสิบ ๆ ปีก่อนที่จะถูกทำลายเสียอีก
ควรต้องกล่าวว่าจารึกที่มีคำว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ นั้น มีอยู่ 2 แห่ง หากแต่แห่งแรกได้ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งจารึกเต็ม ๆ ของ ‘สยำ กุก /สยาม กก’ ที่ถูกทำให้หายไปนั้น ปรากฏข้อความว่า ‘เนะ สยำ กุก’ หรือ ‘นี่ สยามกก/ก๊ก’ ส่วนจารึกเกี่ยวกับสยามที่ยังหลงเหลืออีก 1 แห่งนั้น ได้ขยายความจารึก ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ต่อไปว่า คือ ‘ข้าราชการฝ่ายทหารพรานแห่งเมืองเชงฌาล ซึ่งนำชาวเสียมกุก’ (อะนัก ราชการัยยะ ภาคะ ปมัญ เชงฌาล ตะ นำ สยำ กุก) ด้วยเหตุนี้ กองทัพสยามที่ปรากฏอยู่ที่กำแพง นครวัด-นครธม จึงไม่ใช่กองทัพธรรมดา หากแต่เป็นกองทัพทหารที่เกรียงไกรเลยทีเดียว
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ผู้อ่านคงอยากจะทราบกันแล้วว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ที่กล่าวถึงนี้คือใครกันแน่ ?
ฤา จึงขอคัดความเห็นของนักวิชาการรวมไปถึงบุคคล ‘เซเลบ’ ของไทยมาแผ่ให้ดูว่าแต่ละคน/ท่าน มีมุมมองในประเด็นนี้อย่างไร เหมือนหรือแตกต่างกับเราที่กำลังถกเถียงเรื่องนี้กับเขมรอย่างเผ็ดมันอย่างไร
ความเห็นแรกคือความเห็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในปี พ.ศ. 2467 ซึ่งท่านเองในตอนนั้นก็ทรงไม่แน่พระทัยว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ นี้จะตีความว่าเป็นชาวสยามหรือไทยในปัจจุบันได้ ส่วน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช กลับยืนยันหนักแน่นในปี พ.ศ. 2496 ว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ คือ คนไทยอย่างแน่นอน ดังประโยคที่ว่า ‘เป็นไทยแน่แล้ว ไม่ผิดไปเลย’ ไม่เพียงเท่านั้น คุณชายได้กระโดดเข้าไปลูบคลำภาพสลักนั้นด้วยความรักใคร่ ดังข้อความว่า
‘เราก็ได้เห็นทัพหน้าที่สุดซึ่งประกอบด้วยบรรพบุรุษของเรา คือคนไทยในสมัยนั้น เราหยุดชะงักยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วโดดเข้าลูบคลำภาพนั้นด้วยความรักและความสนใจ’
ในปี พ.ศ. 2508 จิตร ภูมิศักดิ์ ก่อนเสียชีวิตไม่นานได้กล่าวถึง ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ว่า‘สยำ’ ควรออกเสียงว่า ‘เซียม’ ไม่ใช่ ‘สยาม’ จิตรได้ไปไกลจนถึงชี้ชัดว่า เสียมกุก ที่ว่านี้คือ สยามกก ซึ่ง กก มาจาก ‘กุกนที’ ซึ่งน่าจะอยู่บริเวณอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายทางตอนเหนือ ด้วยเหตุนี้ จิตรจึงฟันธงว่าชาวสยามนี้คือ ‘ชาวเสียมแห่งแม่น้ำกุกนที’
ต่อมาในปี พ.ศ. 2535 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ชื่อดังของไทย ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ นี้น่าจะเป็นสยามที่ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกของไทยในปัจจุบัน และไม่น่าจะใช่สยามที่ลุ่มแม่น้ำกกที่เชียงราย หรือสยามที่สุโขทัย โดยเฉพาะกรณีสุโขทัยนั้นมีอายุหลังนครวัด-นครธมถึง 100 ปี กระนั้นก็ดี ชาญวิทย์เองก็ไม่กล้ายืนยันว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ นี้คือคนไทยหรือไม่ เขามองว่าหากนำเครื่องแต่งกายที่ปรากฏในภาพสลักมาวิเคราะห์น่าจะทำให้ข้อสรุปเรื่องนี้มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ความเห็นของชาญวิทย์ข้างต้น คล้ายคลึงกับข้อสันนิษฐานของ ฤา โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ นั้นอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ที่เชียงรายหรือสุโขทัย ความเป็นไปได้ว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ อาจจะหมายถึงพื้นที่อื่นนั้นย่อมเป็นที่ถกเถียงกันได้ ดังที่ ฤา มีสมมติฐานว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ น่าจะตั้งอยู่บริเวณจังหวัดสระแก้ว ทางภาคตะวันออก (ติดกับภาคอีสานคือบุรีรัมย์และโคราช) ของไทยที่มีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน เพราะในพื้นที่จังหวัดสระแก้วนั้น มีปราสาทแบบขอมชื่อว่า ‘สด๊กก๊อกธม’ (Stuk Kak Dham) ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า ‘บึงที่เต็มไปด้วยต้นกกใหญ่โต’ ซึ่ง ‘ก๊อก’ ก็คือ ‘กก’ หรือ ‘กุก’ นั้นก็เข้ารูปกับคำว่า ‘สยำ กุก’ พอดี
แล้วถ้า ‘กุก’ มีความเป็นไปได้แล้ว ‘สยำ’ นั้นเล่าจะอธิบายประกอบอย่างไร ? ไมเคิล วิคเกอรี (Michael Vickery) ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรโบราณทั้งไทยและเขมรผู้ล่วงลับ ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า ‘สยำ/เซียม/เสียน’ ในเวลาที่มีการทำจารึกที่ นครวัด-นครธม นั้น มิได้หมายถึงคนไทยหรือชาติพันธุ์สยาม/ไทย แต่อาจหมายถึงพื้นที่หรือภูมิภาคแห่งหนึ่ง คือเขตสยาม/เซียม มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของชาติพันธุ์ ถึงกระนั้น พื้นที่ลุ่มภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือตามความเห็นของวิคเกอรีย่อมอนุมานได้ว่าคือ ‘สยำ/เซียน/เสียม’ หรือ ‘สยาม’ อย่างแน่นอน
ท้ายที่สุด แม้ ฤา ได้นำความเห็นต่าง ๆ ของนักวิชาการนามอุโฆษที่สนใจเรื่องขอม/เขมรและสยาม รวมกระทั่งความเห็นของ ฤา เองมาตีแผ่ให้อ่านกันข้างต้น กระนั้น ฤา ก็ขอออกตัวก่อนว่าในประเด็นที่กล่าวถึงไปนี้ ในทางประวัติศาสตร์แล้วมีข้อมูลอยู่น้อยมาก ด้วยเหตุนี้การฟันธงชี้ชัดไปว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ เป็นใครหรือที่ไหนในปัจจุบันน่าจะเป็นเรื่องที่ด่วนสรุปจนเกินไป เพราะหลักฐานที่หลงเหลือในปัจจุบันมีอยู่น้อยมาก
ดังนั้น ข้อมูลเรื่อง ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ต่าง ๆ ที่นำเสนอข้างต้นนี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียง ‘ความเห็น’ ของนักวิชาการแต่ละท่านซึ่งย่อมเกิดมาจากบริบทแวดล้อม ทัศนคติ อคติ รวมถึงอุดมการณ์ความเชื่อของนักวิชาการนั้น ๆ
แต่กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าผู้อ่านจะยึดความเห็นของใครก็ตาม สิ่งเดียวที่ได้เป็นข้อสรุปร่วมกัน ว่าใครคือ ‘สยำ กุก / สยาม กก’ หรือเมืองของเขาตั้งอยู่ที่ไหน นั่นก็คือการที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘สยำ กุก / สยาม กก’ ย่อมอยู่ที่ไหนสักแห่งในประเทศไทยในปัจจุบันอย่างแน่นอน แม้ปัจจุบันจะยากยิ่งที่จะด่วนสรุปถึงตำแหน่งแห่งที่อันแน่นอนก็ตามที